พาณิชย์ ลุย DEWA & DEWI 2025 ปั้น 15 แบรนด์ไทย ใช้วัสดุเหลือใช้ผลิตสินค้า
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เดินหน้าโครงการ DEWA & DEWI 2025 ปั้น 15 แบรนด์ไทย ผลิตสินค้าตอบสนองเทรนด์โลก ที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เน้นการนำวัสดุเหลือใช้มาผลิตสินค้าด้วยนวัตกรรม ก่อนนำเปิดตัวในงานแสดงสินค้า และช่วยทำตลาด
ม.ล.คฑาทอง ทองใหญ่ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการ DEsign from Waste of Agriculture and Industry 2025 (DEWA & DEWI 2025) ว่า โครงการนี้มีเป้าหมายสร้างจุดแข็งให้กับสินค้าและบริการไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการของเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน โดยปีนี้ ได้มุ่งเน้นการต่อยอดนวัตกรรมจากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและอุตสาหกรรม ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพ ภายใต้แนวคิด Crafting Sustainovation Future
สำหรับ การดำเนินการในปีนี้ กรมได้คัดเลือก 15 แบรนด์ไทย เข้าร่วมโครงการ DEWA & DEWI 2025 ซึ่งแต่ละแบรนด์มีแนวคิดสร้างสรรค์และมุ่งเน้นการใช้วัสดุอย่างยั่งยืน ได้แก่ loqa , LAMUNLAMAI , EARTHOLOGY STUDIO , SUITCUBE , SONITE , Touchable , PRAPAIPUN.STYLE , HARV , Mush Composites , THAIS , NARATHONG PLUS , DEESAWAT , Hemm , ekko และ best wood
โดยแบรนด์ที่เข้าร่วม นอกจากจะช่วยพัฒนาการออกแบบที่โดดเด่นแล้ว ยังจะมีการนำวัสดุที่น่าสนใจมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อาทิ เศษแก้ว เศษเซรามิก และดิน ที่ถูกนำมาต่อยอดเป็นเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เศษผ้าคุณภาพสูงจากการตัดสูท ซึ่งได้รับการออกแบบใหม่ให้กลายเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์และยั่งยืน และเปลือกกัญชงจากเกษตรกรไทย ที่ถูกนำแปรรูปเป็นเส้นใยสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์แฟชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“ผู้ที่เข้ารับการอบรม จะได้รับคำปรึกษาเชิงลึก จากนักออกแบบและผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ครอบคลุมทั้งด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับทีมดีไซเนอร์และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์พร้อมสำหรับตลาดสากล โอกาสจัดแสดงผลิตภัณฑ์ในเวทีระดับนานาชาติ เช่น Dutch Design Week 2025
ซึ่งเป็นหนึ่งในงานสำคัญด้านการออกแบบและนวัตกรรมระดับโลก เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้แสดงศักยภาพต่อผู้ซื้อและนักลงทุนจากนานาประเทศ การเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดโลก โดยเปิดโอกาสให้ผลิตภัณฑ์จากโครงการได้รับการจัดจำหน่ายในกลุ่มตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น Hospitality และผลิตภัณฑ์ Low Carbon
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงและมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น LEED Certificate ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก”ม.ล.คฑาทองกล่าว