หมวดหมู่: สภาอุตสาหกรรม

FTIE Wallet


กกร. เผย ศก.ไทยปี 68 โตจำกัด สงครามการค้า-บาทแข็ง กดดันส่งออก

     การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จัดการประชุมประจำเดือนมกราคม 2568 โดยมี คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นประธานการประชุม ร่วมกับ คุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, คุณผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และคณะกรรมการ กกร. เข้าร่วมการประชุม ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ

 

สรุปประเด็นแถลงข่าวประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2568 :

 

  สงครามการค้ารอบใหม่เริ่มแล้วที่เม็กซิโก แคนาดา และจีน ท่ามกลางการตอบโต้ โดยสหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าต่อกลุ่มประเทศเป้าหมาย ทั้งต่อเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และจีนในอัตรา 10% ซึ่งจะส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 และจะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นในปี 2569 นอกจากนี้ ยังผลักดันนโยบายเร่งด่วนผ่านการใช้คำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) รวมถึงนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ ครอบคลุมทั้งประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรม การจัดการคนเข้าเมือง และการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส เป็นต้น
ความขัดแย้งทางการค้ากดดันสินค้าจากต่างชาติเข้ามาแย่งตลาดและกระทบต่อภาคการผลิตของไทย สินค้าต่างประเทศที่ล้นตลาดจากปัญหาสงครามการค้าและการแยกขั้ว (De-coupling) ทะลักเข้ามาในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตและการจ้างงาน จากการศึกษาผลกระทบดังกล่าวตามข้อเสนอในสมุดปกขาวของ กกร.โดยกระทรวงพาณิชย์ พบว่า กลุ่มสินค้าสำคัญที่ได้รับผลกระทบมาก เช่น เหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แก้วและกระจก เครื่องสำอาง เป็นต้น
เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวจำกัด การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงและทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเป็นความท้าทายต่อการส่งออก ส่วนภาคอุตสาหกรรมบางสาขาเผชิญการแข่งขันจากสินค้าต่างชาติ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากกระแสการแยกขั้วของ Supply Chain ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งในปีที่ผ่านมาการขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.14 ล้านล้านบาทสูงสุดในรอบ 10 ปี นอกจากนี้ ยังต้องเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมจาก FTA ไทย-EFTA ที่เพิ่งสำเร็จ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ของ กกร.

%YoY

ปี 2567

(ณ ธ.ค. 67)

ปี 2568

(ณ ม.ค. 68)

ปี 2568

(ณ ก.พ. 68)

GDP

2.8

2.4 ถึง 2.9

2.4 ถึง 2.9

ส่งออก

5.4*

1.5 ถึง 2.5

1.5 ถึง 2.5

เงินเฟ้อ

0.4*

0.8 ถึง 1.2

0.8 ถึง 1.2

หมายเหตุ: *เลขจริง

ที่มา: สศช. พณ. และประมาณการโดย กกร.

 

  • ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้หารือแนวทางการเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายสหรัฐฯ โดยเฉพาะมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ ที่เริ่มมีการประกาศบังคับใช้กับเม็กซิโก แคนาดา และจีนแล้ว ซึ่งประเทศคู่กรณีดังกล่าวได้ส่งสัญญาณตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีและมาตรการทางการค้ากลับสหรัฐฯ ทำให้การค้าโลกได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันสินค้าจีนที่ไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ อาจจะไหลทะลักกลับมาที่ประเทศไทยและประเทศคู่ค้าของไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น ดังนั้น กกร. จึงเสนอแนวทางเตรียมความพร้อมรับมือทั้งผลกระทบจากทางตรงและทางอ้อม ดังนี้
    การเจรจาระดับรัฐเพื่อป้องกันและบรรเทาการใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจร่วมกัน
    การสนับสนุนในด้านกฎหมาย กฎระเบียบการค้า เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ 
    การบูรณาการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมภายในประเทศและการปฏิรูปกฎหมายเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน
    การใช้มาตรการทางการค้าเพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping :AD) ปรับลดระยะเวลาการไต่สวนการใช้มาตรการทางการค้า และการใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า พ.ศ.2522
    การควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงาน รวมทั้งการให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตเกินความต้องการ (Over Capacity) รวมถึงการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมในเขต Freezoneอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบนำสินค้าและวัตถุดิบกลับมาขายในประเทศ
    การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MIT) ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การส่งเสริมขยายตลาดภาคเอกชน รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไข  
    การใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศในโครงการรัฐ เช่น การกำหนดการใช้สินค้าไทยในโครงการบ้านเพื่อคนไทย ไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าโครงการ ทั้งนี้ ภาครัฐควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นและข้อเสนอแนะในการเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ 

 FTIE Wallet

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แสดงจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลในการยกระดับการแก้ไขปัญหาฝุ่น 5 เป็นวาระแห่งชาติ หลังพบว่าปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว เสียโอกาสทางธุรกิจในการจัดกิจกรรมกลางแจ้ง และกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
ดังนั้น เพื่อยกระดับแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 กกร. จีงหารือแนวทางดำเนินการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยมีมาตรการสำคัญ ดังนี้  1) สนับสนุนการให้เงินอุดหนุนในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อเร่งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาลดปัญหาฝุ่นละอองและการเผาในภาคเกษตรกรรม 2) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าไม้ ให้เกิดการบริหารจัดการที่ยั่งยืน ลดปัญหาไฟป่า และกระตุ้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
3) ผลักดันกลไกภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในคณะกรรมการต่างๆ ภายใต้ พ.ร.บ. อากาศสะอาด และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4) สนับสนุนการใช้แผนที่ One Map และเตรียมความพร้อมปฏิบัติตามมาตรการ EUDP ภายใต้กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation: EUDR) เพื่อบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ 5) ใช้กลไกความร่วมมืออาเซียน เพื่อประสานการป้องกันและควบคุมปัญหาฝุ่น PM2.5 และไฟป่าในระดับภูมิภาค ทั้งนี้ กกร. ย้ำว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่น PM2.5 และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา PM2.5 อย่างมีประสิทธิภาพและอย่างยั่งยืน
Regulatory Guillotine ซึ่ง กกร.เห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องปฏิรูปกฎหมายทั้งระบบ จึงเสนอให้เร่งดำเนินการแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้มีผลสัมฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างความโปร่งใส และส่งเสริมความยากง่ายมนการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business)
  ที่ประชุม กกร.สนับสนุนแนวทางการยกระดับการจัดการบัญชีม้าของสมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก โดยที่ผ่านมา ได้พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยของ Mobile Banking เพื่อป้องกัน Application ดูดเงินและการควบคุมโทรศัพท์มือถือระยะไกล (Remote Access) งดการส่งข้อความ SMS แนบลิงก์ในการติดต่อกับลูกค้า จัดให้มี Hotline รับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) พัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลในภาคธนาคาร (Central Fraud Registry)เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชี ธุรกรรมต้องสงสัย และบัญชีม้า ทำให้สามารถจัดการระงับบัญชีม้าไปแล้วกว่า 8 ล้านบัญชี และเตรียมออกมาตรการเพิ่มเติมในการจัดการบัญชีม้านิติบุคคล
ทั้งนี้ เพื่อความสำเร็จจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาภัยทางการเงิน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งภาครัฐและเอกชน  ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม (Telco)ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ให้บริการ E-Wallet รวมถึงภาคประชาชน ที่ต้องตื่นตัวและรู้เท่าทันภัยทางการเงิน เพื่อให้แก้ไขและป้องกันภัยทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

Click Donate Support Web 

PTG 720x100

MTI 720x100

Banner GPF720x100 PXTOA 720x100

EXIM One 720x90 C JMTL 720x100

SME720x100 2024

CKPower 720x100

QIC 720x100

วิริยะ 720x100

aia 720 x100

BKI 720 x 100

ธกส 720x100

ใจฟู720x100pxAXA 720 x100

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!