พิชัย ถกกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า เร่งเครื่องเจรจา FTA ตั้งเป้าสรุป 25 ธ.ค.68
พิชัย ประชุมทางไกลกับกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า เร่งเครื่องการเจรจา FTA ไทย-อียู หลังผ่านมา 4 รอบ สรุปผลการเจรจาได้แล้ว 2 บท และเริ่มหารือเรื่องการเปิดตลาดสินค้าและบริการ เผย FTA ฉบับนี้ มีความซับซ้อนและมีประเด็นการค้าใหม่ แต่จะทำงานอย่างแข็งขันร่วมกับภาครัฐและเอกชน เพื่อให้การเจรจาได้ประโยชน์สูงสุด ตั้งเป้าสรุปการเจรจาภายในวันที่ 25 ธ.ค.68
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2568 ที่ผ่านมา ได้หารือผ่านระบบประชุมทางไกลกับนายมารอส เซฟโควิช กรรมาธิการยุโรปด้านการค้า ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร และความโปร่งใส เพื่อผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ตามนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่กำชับให้กระทรวงพาณิชย์เร่งสรุปผลการเจรจาภายในปีนี้ เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อตกลงในการขยายตลาด สร้างแต้มต่อให้กับสินค้าไทย ลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการ และดึงดูดนักลงทุนจากยุโรปมาไทยให้มากขึ้น
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แสดงจุดยืนร่วมกันว่า การเป็นพันธมิตรทางการค้าที่ไว้ใจได้และมีเสถียรภาพ (trusted and predictable) ผ่านการจัดทำ FTA เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยไทยได้ย้ำกับอียูว่าไทยและอียูมีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อข้อกำหนดในข้อตกลง FTA ที่จะต้องมีความยืดหยุ่นและความช่วยเหลือทางวิชาการจาก EU จะมีส่วนช่วยให้การเจรจาประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น
นายพิชัย กล่าวว่า ขณะนี้การเจรจา FTA ไทย-อียู ดำเนินการไปแล้ว 4 รอบ สามารถสรุปผลการเจรจาได้ 2 บท และเริ่มหารือเรื่องการเปิดตลาดสินค้าและบริการ โดยการเจรจารอบที่ 5 ฝ่ายอียูจะเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 31 มี.ค.-4 เม.ย.2568 โดยไทยกับอียูจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถบรรลุผลการเจรจา FTA ภายในวันที่ 25 ธ.ค.2568
และแม้การเจรจา FTA ฉบับนี้ จะซับซ้อนและมีประเด็นใหม่ๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ พลังงานและวัตถุดิบ รัฐวิสาหกิจและการอุดหนุน การแข่งขันทางการค้า และระบบอาหารที่ยั่งยืน แต่กระทรวงพาณิชย์จะทำงานอย่างแข็งขัน ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและหารือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเจรจาบรรลุผลและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ ผู้ประกอบการ เกษตรกร และผู้บริโภคไทย
“การเร่งสรุป FTA ไทย-อียู ไม่ใช่แค่การเพิ่มมูลค่าการค้า แต่เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทย โดยไทยจะใช้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้ เพื่อขยายตลาด ลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการ และดึงดูดนักลงทุนจากยุโรปให้มากขึ้น ซึ่ง FTA ไทย-อียู จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และช่วยให้ไทยปรับตัวได้ดีขึ้นต่อการแข่งขันในเวทีโลก”นายพิชัยกล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า ตนยังได้พบปะนายเดวิด เดลี เอกอัครราชทูตอียูประจำประเทศไทย เพื่อหารือประเด็นการค้าอื่นๆ อาทิ กระบวนการระงับข้อพิพาทในองค์การการค้าโลก (WTO) การนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยไปยังตลาดอียู ความคืบหน้าการแก้ไขกฎหมายต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) และการเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการไทยในการปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ของอียู
สำหรับ อียู เป็นคู่ค้าลำดับที่ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น มีมูลค่าการค้ารวม 43,533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.54 ล้านล้านบาท) คิดเป็น 7.17% ของการค้ารวมของไทยกับโลก ไทยส่งออกไปอียูมูลค่า 24,205 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 850,000 ล้านบาท) สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบอัญมณีและเครื่องประดับ
เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และชิ้นส่วน และไทยนำเข้าจากอียู มูลค่า 19,328 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 687,000 ล้านบาท) สินค้านำเข้าสำคัญ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องบินและอุปกรณ์การบินเคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรไฟฟ้า